วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ซอฟต์แวร์ (Software)


     ซอฟท์แวร์ (Software)
                  ซอฟท์แวร์   หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อ สั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เรา ก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น
  •  ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
             
    คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการ ทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน
  • ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
      
    คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่นำมาให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บ ข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น ประเภท คือ
    • ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่าUser’s Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ โปรแกรม ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฏเกณฑ์ของ แต่ละหน่วยงาน ที่ใช้ ซึ่งสามารถ ดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียน ขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา
    • ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดย ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำ เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้อง เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานเรา ขาดบุคลากร ที่มีความชำนาญ เป็นพิเศษ ในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรม สำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่างๆ เป็นต้น
    ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์ 
         
      โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
              การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ 




วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประวัติของสโมสร Liverpool

ประวัติของสโมสร Liverpool

จุดเริ่มต้นที่ถนนแอนฟิลด์

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1892 โดย John Houlding ซึ่งนักธุรกิจท้องถิ่น และว่าที่นายกเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูล เขาเริ่มจากการเช่าพื้นที่บริเวณถนนแอนฟิลด์ ของเมืองลิเวอร์ุัพูลเพื่อสร้างสนามฟุตบอล และได้ปล่อยให้ทางสโมสรเอฟเวอร์ตันเช่าในปีค.ศ. 1884 จนกระทั่งเอฟเวอร์ตันเข้าเป็นสมาชิิกฟุตบอลลีก และไม่ต่อสัญญาเช่าอีกในปีค.ศ. 1892 เนื่องจากเขาต้องการขึ้นค่าเช่าสนามจาก 100 ปอนด์ เป็น 250 ปอนด์ต่อปี และพยายามจะเข้าบริหารงาน ของสโมสร ทางเอฟเวอตันจึงตัดสินใจย้ายไปใช้สนามอีกฝากของสวนสาธารณะสแตนลี่ย์พาร์ค และใช้ชื่อสนามว่า กูดิสัน พาร์ค มาจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อสนามไม่ได้ใช้ประโยชน์ John Houlding จึงจัดตั้งทีมฟุตบอลของเขาขึ้นมาเองโดยให้เพื่อนสนิทอย่าง John McKenna มาเป็นประธานสโมสรและตั้งชื่อทีมว่าลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับอย่างในปัจจุบัน

การเริ่มต้นอย่างสง่างาม

หลังจากตั้งสโมสรก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน ลิเวอร์พูลก็โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด โดยประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเอาชนะทีม Rotherham Town ไปถึง 7-1 อีกทั้งการแข่งขันฟุตบอลลีก ของแคว้นแลงคาเชียร์ ซึ่งสามารถเอาชนะทีม Higher Walton ด้วยสกอร์ 8-0 ที่สนามแอนฟิลด์ โดยลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะถึง 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีก โดยให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ก่อน ในฤดูกาล 1893-1894 ซึ่งสโมสรสามารถเก็บชัยชนะได้แบบ 100% (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ หรือก็คือทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน ซึ่งลิเวอร์พูลก็เอาชนะไปได้ 2-0 และได้เลื่อนขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้ในที่สุด ทั้งนี้สโมสรได้เลือกสัญลักษณ์เป็นนกลิเวอร์เบิร์ด ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวญแม่น้ำเมอร์ซี่ โดยที่ปากนกนั้นคาบใบไม้ไว้

บิล แชงค์ลี่ย์

ในช่วงศตวรรษที่ 20-50 ลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างที่คาดไว้ เพราะทีมยังต้องขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นประจำระหว่างดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 จนในปีค.ศ. 1954 ลิเวอร์พูลต้องลงไปเล่นอยู่ในดิวิชั่น 2 นานกว่าปกติและก็ยังไม่มีผู้จัดการคนไหนสามารถพาทีมกลับขึ้นมาสู่ดิวิชั่น 1 ได้สักที จนเมื่อชายที่ชื่อว่า บิลล์ แชงค์ลี่ย์ เข้ามาคุมทีมได้เพียง 2 ฤดูกาล เขาก็พาทีมขึ้นมาสู่ดิวิชั่น 1 ในฐานะแชมป์ของดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จในปีค.ศ. 1962 ซึ่งแชงค์ลี่ย์มีปรัชญาการคุมทีมอย่างง่ายๆ คือ ฟุตบอลแบบพื้นๆ แต่เน้นการส่ง และรับบอล อย่างแม่นยำ เล่นกันเป็นทีมมากกว่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทีมลิเวอร์พูลมาจวบจนปัจจุบัน

บ็อบ เพสลี่ย์ ผู้สืบทอดของแชงค์ลี่ย์

แต่หลังจากอังกฤษคว้าแชมป์โลก บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งในปี 1973 หลังจากพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพได้ในปี 1972 โดยมีบ๊อบ เพสลี่ย์ มีขวาของเขามารับช่วงต่อแทน และบ๊อบใช้เวลาเพียง 4 ปี ในการพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ และในปีต่อมาเขาก็พาลิเวอร์พูลประกาศความยิ่งใหญ่อีกครั้งเมื่อพาทีมคว้าดับ เบิ้ลแชมป์ จากดิวิชั่น 1 และยูโรเปี้ยน คัพ มาครอง อีกทั้งยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพมาได้อีก 2 ครั้งในปี 1981 และ 1984 ก่อนที่บ็อบ เพสลีย์จะลาออกจากตำแหน่ง

จาก โจ ฟาแกน ถึง คิง เคนนี่

โจ เฟแกน คือผู้จัดการทีมต่อจากบ็อบ เพสลี่ย์ ซึ่งในการคุมทีมของเขาได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น มีผู้เสียชีวิต 39 คนจากการที่ทีมลิเวอร์พูลแพ้ทีมยูเวนตุส 1-0 จากลูกจุดโทษ ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ ที่สนามเฮย์เซล สเตเดี้ยม ในกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม
ซึ่งทำให้เฟแกนตัดสินใจลาออกจากการคุมทีม ทำให้เคนนี่ ดัลกลิช ผู้เล่นที่ก้าวมาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร และเขาก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ตั้งแต่การคุมทีมปีแรก

ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

หลังจากในปี 1990 หรือตั้งแต่ดัลกลิช ทนรับความเครียดจากเหตุการณ์เศร้าสลดที่ สนามฮิลส์โบโร่ ได้จึงลาออกจากการคุมทีม จากนั้นมาลิเวอร์พูลก็ไม่ประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นยุค ของแกรม ซูเนส, รอย อีแวนส์, หรือเชรา อุลลิเยร แม้ว่าอุลลิเยร์จะสามารถคว้าทริปเปิลแชมป์ ในปี 2001 คือ League Cup, UEFA Cup และFA Cupัพ แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ความสำเร็จที่แฟนบอลรอคอยนัก มีดวามเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในทีม ทั้งวิธีการซื้อนักเตะ รูปแบบการเล่น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลประสบปัญหาในเรื่องฟอร์ม การเล่น

การปฏิรูปครั้งใหญ่ของบินิเตส

ราฟาเอล เบนิเตส ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่แฟนๆ หงส์แดงฝากความหวังไว้มากทีเดียว เขาผ่าตัดทีมลิเวอร์พูลครั้งใหญ่ พร้อมทั้งนำทั้งสต๊าฟและผู้เล่นชาวสเปนเข้ามาเสริมทีมหลายคน แม้ผลงานในลีกอังกฤษจะไม่ดีอย่างที่แฟนๆคาดไว้ แต่ผลงานของทีมในระดับประเทศยุโรปนั้นดีมากๆ จากการที่เขานำทีมคว้าแชมป์ UEFA Champions League และในฤดูกาลที่ผ่านมาเขาก็นำทีมคว้าแชมป์ FA Cup 2006 ได้อีกด้วย แถมทีมก็อยู่ในอันดับ 3 ของลีกอีกต่างหาก ส่วนในฤดูกาลนี้จะสามารถคว้าเอาแชมป์พรีเมียร์ชิพแรกของทีมได้หรือไม่...

ต้องขอขอบคุณเว๊ปไซค์ http://www.lfcthailand.com/history.php

ประวัติของ Steven Gerrard


ประวัติของ Steven Gerrard 
 Steven Gerrad
 สตีเว่น เจอร์ราร์ด "กองกลางมหัศจรรย์ของอังกฤษ"
Steven Gerrad
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันทีมแห่งค่าย “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 8 ขวบ เขาเป็นสมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส  ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 โดยได้รับเงินค่าจ้างก้อนแรกที่ 700 ปอนด์ (ประมาณ  44,100 บาท) ต่อสัปดาห์
เจอร์ราร์ด ได้ชื่อว่าเป็นกองกลางพลังไดนาโม  โดยเขาเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา ก่อนที่จะขยับมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ  แต่ด้วยความเป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด จึงค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว
เริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง
1998-2000 : ช่วงต้นการค้าแข้ง
เจอร์ราร์ด หรือที่มีนิคเนมว่า "สตีวี่จี"  ได้ลงเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในนามทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปเล่นแทน เวการ์ด เฮ็กเกม ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น ขณะที่ เกมที่เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมแรก เกิดขึ้นในเกมยูฟ่า คัพ ปี 1998 ที่พบกับ เซลต้า บีโก้ เนื่องจาก เจมี่ คาราเกอร์  มิดฟิลด์จอมทัพของทีมได้รับบาดเจ็บ และแม้ว่า "หงส์แดง" จะแพ้ในนัดนั้น แต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเล่นได้ดี มีอนาคตในทีมอย่างแน่นอน
Steven Gerrad
ต่อมาในฤดูกาล 1999-2000 ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมบังเหียนของ เชราร์ด อุลลิเย่ร์ หนุ่มน้อยเลือดสเก๊าซ์ ก็ได้ปักหลักยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเขาได้ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง คู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ และในปีนี้เอง ที่เจอร์ราร์ด ต้องได้รับใบแดงแรกในชีวิต จากการไปทำฟาวล์ เควิน เคมป์เบลล์ กองหน้าของ เอฟเวอร์ตัน เช่นเดียวกับที่ เขาสามารถส่องประตูแรกให้กับต้นสังกัดในเกมพรีเมียร์ชิพ ช่วงท้ายฤดูกาล ที่เอาชนะ เชฟฟิลด์ เวสเดย์ มาได้อย่างท้วมท้น 4-1 
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นปีที่ไม่ค่อยรื่นรมย์สำหรับ เจอร์ราร์ด มากนัก เนื่องจากเขาต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หลังอยู่บ่อยครั้ง จนมีข่าวออกมาว่า แฟนบอลทีม “หงส์แดง” อาจไม่ได้เห็นเพลงแข้งของเขาจนจบฤดูกาลเลยก็
 สตีเว่น เจอร์ราร์ด
เป็นได้ แต่จากความเอาใจใส่ของ อุลลิเย่ร์ ที่สรรหาทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญมาตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้ เจอร์ราร์ด หายกลับมาเป็นปกติ ก่อนที่ อาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบ จะทำให้เขาต้องหยุดพักรักษาตัวอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น และในที่สุด เจอร์ราร์ด ก็กลับมาลงสนามได้ตามปกติ

2001-2003 : ช่วงแห่งความสำเร็จ
ในฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ด ในวัย 20 ปี ก็สามารถสลัดอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าในฤดูกาลที่แล้วได้อย่างปลิดทิ้ง  และเขาก็เล่นดีมากๆ จนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ และพาทีม "หงส์แดง" คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยสามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า คัพ ซึ่ง ลิเวอร์พูล กับ อลาเบส ได้อีกด้วย
อาจได้ว่า สตีวี่จี ถือเป็นที่นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ หลังจากที่มาเข้าร่วมชายคาของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1989 และค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆในโรงเรียนนักเตะของ "หงส์แดง" ที่สร้างนักเตะที่อย่าง สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มาโด่งดังไปแล้ว ก่อนจะปั้น ไมเคิ่ล โอเว่น และ เจอร์ราร์ด ขึ้นมาโด่งดังเป็นรุ่นต่อมา       
 
ถัดมาในฤดูกาล 2001-2002 ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มพูนมาขึ้น ก็ทำให้ เจอร์ราร์ด ขยับฐานะจากนักเตะดาวรุ่ง กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของทีม “หงส์แดง” อย่างเต็มตัว  โดยเขามีส่วนสำคัญยิ่งจนทำให้ ลิเวอร์พูล ปิดฉากฤดูกาลที่ อันดับ 2 ของตารางพรีเมียร์ชิพ ด้วยคะแนนที่ดีที่สุดในรอบ 10 ของทีมอีกด้วย
Steven Gerrad
2003-2004 : ช่วงชีวิตการเป็นกัปตันทีม
เจอร์ราร์ด ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่หน้าที่ที่เขาได้รับเพิ่มขึ้นก็คือ การสวมปลอกแขนกัปตันทีมครั้งแรกอย่างเป็นทางการของดาวเตะวัยเพียง 23 ปี ในขณะนั้น โดยเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทน ซามี่ ฮูเปีย กองหลังชาวฟินแลนด์ ในเดือนตุลาคม  2003 เนื่องจากหวังให้ เจอร์ราร์ด โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

และก็ได้ผลทีเดียวเมื่อ เจอร์ราร์ด กลายเป็นผู้เล่นที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ ทั้งการทำงานหนักในสนาม และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยในฤดูกาล 2003/2004 เจอร์ราร์ด ที่ต้องคอยไล่ตัดเกมรุกของคู่ต่อสู้ด้วยนั้น โดนใบเหลืองไปแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลอย่างขาวสะอาดมากคนหนึ่ง
2004-2005 : แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
Steven Gerrad

ลิเวอร์พูล ภายใต้การปฏิรูปขนานใหญ่ ที่ไม่มี ไมเคิ่ล โอเว่น กองหน้าคนสำคัญ ซึ่งถูกขายให้ เรอัล มาดริด, อาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงของ ฌิบริล ซิสเซ่ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส จนทำให้ต้องพักยาว, นักเตะแกนหลักอีกหลายรายคนทีมที่ไม่สมบูรณ์ รวมถึงการเปลี่ยนกุนซือนำทัพคนใหม่ มาเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เข้าดำรงตำแหน่งแทน อุลลิเย่ร์  ที่โดนปลดออกไป
ขณะที่ เจอร์ราร์ด เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะปักหลักอยู่ในแอนฟิลด์ ต่อไปหรือไม่ แต่เจอร์ราร์ดก็ยังทุ่มเทเต็มที่ในการลงสนามให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งพาทีม "หงส์แดง" ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบพลิกความคาดหมาย ซึ่งลิเวอร์พูล ต้องพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี ในการฟาดแข้งที่สนาม อตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี และก็ดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะต้องผิดหวังตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรกจบลง เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังไปถึง 0-3 แต่ เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ยังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นให้ลูกทีมฮึดสู้ตามไปด้วย และเขาก็โหม่งประตูตีไข่แตกช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-3 พร้อมทั้งความหวัง
  
หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ก็ยิงประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นอีกของพลพรรค "เดอะ ค็อป" ที่ช่วยกันร้องเพลง You will never walk alone กระหึ่มสนามอตาเติร์ก เร่งความฮึกเหิมให้กับนักเตะ "หงส์แดง" เข้าไปอีก ก่อนที่ ซาบี อลอนโซ่ จะมาทำประตูตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล มิลาน ถึงกับตะลึง
 
การแข่งขันนัดดังกล่าว ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ หลังจากที่ต่อเวลาพิเศษไปแล้ว ก็ยังเสมอกันอยู่ 3-3 และ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารชาวโปแลนด์ ก็ช่วยเซฟจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้แบบสุดมหัศจรรย์ โดยที่มีกัปตันทีมที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล และตัวเขาเอง และหลังจากจบการแข่งขันนัดดังกล่าว เจอร์ราร์ด ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้"
นอกจากจะพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขันและมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ ดาวเตะบราซิเลียนของบาร์เซโลน่า
เบียดคว้าตำแหน่งไปครอง นอจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีของบีบีซี อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเดือน กรกฎาคม ปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาล การเจรจาต่อสัญญาของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล ก็ล้มเหลวลงอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวลือว่า เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้ เจอร์ราร์ด ย้ายมาร่วมทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" ด้วยค่าตัวมหาศาล 32 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงที่สุดในอังกฤษ และในวันที่ 5 กรกฎาคม ปีนั้น เจอร์ราร์ด ก็ออกมาประกาศว่าเขาอยากจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ หลังจากที่ยังตกลงเรื่องสัญญากับทางสโมสร ไม่ได้ซักที
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แฟนบอลของลิเวอร์พูล ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เจอร์ราร์ด เปลี่ยนใจในวันต่อมา และจัดการเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปอีก 4 ปี ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 พร้อมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมที่ก้าวมาจากโรงเรียนลูกหนังของลิเวอร์พูล ด้วยกัน
   
ในฤดูกาล 2005/2006 เจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ "หงส์แดง" ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ
นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ "หงส์แดง" ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988
จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006

2006-2007 : รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้สวยหรู ด้วยการเฉือนเอาชนะ เชลซี มาได้ 2-1 ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ช่วงเปิดฤดูกาล ซึ่ง แม้ว่า เจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริง ก่อนที่จะถูกส่งลงไปเล่นแทน เบาเด้นไวน์ เซนเด้น ในช่วงครึ่งหลัง แต่ หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลย โดยพวกเขาได้อันดับ 3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ มีคะแนนตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 21 แต้ม และในเกมเอฟเอ คัพ พวกเขาก็ไปแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล ในรอบที่สาม ขณะที่ เกมคาร์ลิ่ง คัพ ทีม “หงส์แดง” ก็กระเด็นตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปด้วยน้ำมือของ อาร์เซน่อล อีกเช่นเคย หลังปราชัยคาถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเอง ไปแบบย่อยยับ 3-6
Steven Gerrad
อย่างไรก็ตาม สำหรับในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูลก็ถือว่าทำผลงานได้ดี หลังจากทุบเอาชนะ บาร์เซโลน่า อดีตแชมป์ในปีที่แล้ว ได้สำเร็จ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะเขี่ย เชลซี ไปได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน และเข้าไปชิงดำกับอดีตคู่ปรับเก่าในปี 2001 อย่าง เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่กลับเป็นหนังคนละม้วน เหมือน พวกเขาต้องเป็น ฝ่ายปราชัยไป 1-2 ในท้ายที่สุด
2007-2008 : ออกสตาร์ทดี แต่จบฤดูกาลมือเปล่าอีกครั้ง
   
เจอร์ราร์ด สวมบทฮีโร่ของทีมต้นแต่เกมนัดเปิดสนาม ในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ที่ สนามวิลล่า พาร์ค โดย เจอร์ราร์ด ยิงฟรีคิกสุดสวย ระยะ 25 หลา ให้ ลิเวอร์พูล ออกนำทีมเจ้าถิ่นไปอีกครั้ง เป็น 2-1 ในนาทีที่ 87 ภายหลังจากทีม วิลล่า ทำประตูตีเสมอเพียง 2 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ จบเกม เจอร์ราร์ด ซิวตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์” ไปครอง และนี่ก็ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในเกมเปิดสนามศึกพรีเมียร์ชิพของทีม นับตั้งแต่ ปี 2002 เป็นต้นมา อีกด้วย
ในวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เจอร์ราร์ด ลงสนามให้กับทีม ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 400 ในเกมที่พบกับ อาร์เซน่อล ซึ่งเขาทำประตูได้ด้วยรวมถึงทำประตูได้ติดต่อกัน 7 นัดรวดหลังจากนั้น ซึ่งถือเป็น นักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ทำได้ นับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ เคยทำไว้ ในปี 1989 และต่อมาในวันที่ 13 เมษายน 2008 เจอร์ราร์ด ในวัน 28 ปี ก็ลงเล่นให้กับทีม “หงส์แดง” เป็นนัดที่ 300 ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
Steven Gerrad
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เจอร์ราร์ด ก็ไม่อาจช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีแชมป์ติดไม้ติดมือได้อีกเช่นเคย โดยลิเวอรพูล จบอันดับ 4 ในศึกพรีเมียร์ชิพ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะโดน เชลซี เขี่ย ตกรอบไปในที่สุด แต่ เจอร์ราร์ด ก็สามารถทำประตูให้ทีมได้เป็นกอบเป็นกำถึง 22 ลูก รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล พีเอฟเอ เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี เคียงข้างกับ เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเพื่อนร่วมทีม
2008-2009 อีกนิดเดียว ไม่น่าพลาดเลย 
เจอร์ราดมีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่เขาก็รับมือกับมันได้อย่างไม่มีปัญหา เจอร์ราดน่าจะยิงครบร้อยในชุดลิเวอร์พูลตั้งแต่วันที่20กันยายน กับสโต๊กแต่ผู้กำกับเส้นให้เป็นลูกล้ำหน้า อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จในเกมชนะพีเอสวี ไฮโอเฟ่น3-1 ในเกมยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ รอบแบ่งกลุ่ม  นอกจากนั้นเจอร์ราด
หลังจากนั้นเขาเล่นครบ100นัดให้ลิเวอร์พูลในฟุตบอลยุโรป ในวันที่10มีนาคม2009 ที่เอาชนะเรอัล มาดริด4-0 และเป็นผู้ยิงคนเดียว2ประตู และยังทำประตูจากลูกจุดโทษให้ทีมถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด4-1ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกด้วย พร้อมกันนี้ เจอร์ราดยังถูกยกย่องจาก ซีเนอดีน ซีดานว่าป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก

ในวันที่22 มีนาคม 2009 เจอร์ราดทำครั้งแฮตทริกแรกในพรีเมียร์ ลีก ในเกมที่ถล่มแอสตัน วิลล่า 5-0 และในวันที่13 พฤษภาคม 2009 เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมจากการโหวตของนักข่าว และก็เป็นครั้งแรกในรอบ19ปีของนักเตะลิเวอร์พูลที่ได้รางวัลนี้ด้วย
บทสรุปของฤดูกาล2008-2009 เจอร์ราดพาลิเวอร์พูล จบอันดับที่2 เป็นรองแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เป็นแชมป์ 
เส้นทางกับทีมชาติอังกฤษ
นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล แล้ว เจอร์ราร์ด ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย โดยเขาลงเล่นให้กับทีม “สิงโตคำราม” ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2000 ซึ่งเป็นเกมที่ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน พบกับ ยูเครน  และเขาเคยถูกเรียกติดทีมอังกฤษ ชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และ ฮอลแลนด์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่อาจยึดตำแหน่งตัวจริงได้
อย่างไรก็ตาม 2 ปี ให้หลัง เจอร์ราร์ด ก็สามารถทำประตูแรก ในทีมชาติอังกฤษ ได้ในนัดที่ "สิงโตคำราม" บุกไปถล่มเอาชนะ เยอรมัน 5-1 ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนยุโรป โดยแมตช์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ พร้อมกับพาทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ได้สำเร็จ แต่ทว่า เขาก็โชคร้าย ต้องถอนตัวออกจากทัพในทีมชุดนั้น เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนที่โคนขาหนีบ จนต้องเข้ารับการผ่าตัด 
 
มาถึง ในศึกยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส เจอร์ราร์ด ได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมในการทำศึกทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลรายการใหญ่ๆ อีกครั้ง โดยครั้งนี้ เขามีส่วนสำคัญทำให้ทีม ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ทว่า ก็ต้องตกรอบไป หลังจากดวลจุดโทษแพ้ให้กับ ทีมเจ้าภาพ ไปอย่างน่าเสียดาย  และอีก 2 ปี ถัดมาในฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่เยอรมัน เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานก่อนที่ทัวร์นาเม้นต์จะเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด ก็กลับมาฟิตสมบูรณ์ได้ทันเวลา และช่วยพาทีมอังกฤษ ทำผลงานเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ โดยไปพบกับ โปรตุเกส และเกมก็ยืดเยื้อจุดถึงการดวลจุดโทษ ซึ่ง เจอร์ราร์ด ก็ต้องฝันร้าย เมื่อเป็น1 ใน 3 ผู้เล่นอังกฤษ ที่ยิงไปติดเซฟของ ริคาร์โด้เปไรร่า  ผู้รักษาประตูของทีม ฝอยทอง และกลายเป็นการปิดฉากเส้นทางของอังกฤษในฟุตบอลครั้งนี้  และ เจอร์ราร์ด ก็คว้าดาวซัลโวสูงสุดของทีม ไปครอง ที่ 2 ประตู 
เจอร์ราดได้รับเลือกให้เป็นรองกัปตันทีมชาติอังกฤษภายใต้การคุมทีมของสตีฟ แม็คคลาเรน อังกฤษพ่ายต่อโคเอรเชีย และรัสเซีย มีผลทำให้กระเด็นตกรอบคัดเลือกยูโร2008ไปอย่างเจ็บปวด ปัจจุบันทีมชาติอังกฤษแต่งตั้ง ฟาบิโอ คาเปลโล่ มากุมบังเหียนแทนที่ สตีฟ แม็คลาเรน และกำลังไปได้สวย ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนยุโรป
ชีวิตส่วนตัว
 
Steven Gerrad

เจอร์ราร์ด แต่งงานกับ อเล็กซ์ คูร์ราน และมีลูกสาวสองคน คือ ลิลลี่-เอลล่า เจอร์ราร์ด (เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2004) และ เล็กซี่ เจอร์ราร์ด (เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2006) โดยทั้งคู่แต่งงานกันที่ คลิเวเดน ในวันที่ 16 มิถุนายน 2007 ซึ่งเป็นวันเดียวกับงานแต่งของเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ อย่าง แกรี่ เนวิลล์, ไมเคิ่ล คาร์ริค และ ร็อกสตาร์ชื่อดัง อย่าง ร็อด สจ๊วร์ต ก่อนที่หนึ่งวันให้หลัง จอห์น เทอร์รี่ กองหลังกัปตันทีมเชลซี ก็สละโสดตามไปอีกเช่นกัน
ในวันที่ 1 กันยายน 2006 เจอร์ราร์ด ได้เขียน อัตชีวประวัติของตัวเอง ที่มีชื่อหนังสือว่า “Gerrard: My Autobiography”  ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว และชีวิตการ
เป็นนักฟุตบอลกับ ลิเวอร์พูล และ ทีมชาติอังกฤษ แถมหนังสือเล่มนี้ ยังได้รับรางวัลหนังสือกีฬาแห่งปี “กาแล็กซี่ บริติช บุ๊ค อวอร์ดส์” ซึ่งเอาชนะ หนังสืออัตชีวประวัติของยอดดาวยิงระดับตำนานของโลก อย่าง เปเล่ อีกด้วย
ในวันที่ 29 ธันวาคม 2006 เจอร์ราร์ด ได้รับชั้นยศ เอ็มโอบี (Member of the Order of the British Empire) จาก พระราชินี อลิซาเบธ ที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในฐานะผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการกีฬาของอังกฤษ 
เกียรติประวัติ
ระดับสโมสร
FA Premier League:
Runner-up: 2001-02
FA Cup: Winner:
2000-01, 2005-06
League Cup: Winner: 2000-01, 2002-03
Runner-up: 2004–05
Community Shield:
Winner: 2001, 2006
Runner-up: 2002
FA Youth Cup:
Winner: 1995–96
UEFA Champions League: Winner: 2004-05
Runner-up: 2006-07
UEFA Cup:
Winner: 2000-01
European Super Cup: Winner: 2001, 2005
FIFA World Club Championship:
Runner-up: 2005

ส่วนตัว :
Member of the Order of the British Empire (MBE): 2007
UEFA Team of the Year: 2004-2005, 2005-2006, 2006-2007
FIFPro World XI: 2006-2007
PFA Players' Player of the Year: 2005-2006
PFA Young Player of the Year: 2000-2001
PFA Fans' Player of the Year: 2000-2002
PFA Team of the Year: 2000-2001, 2003-2004, 2004-2005, 2005-2006, 2006-2007, 2007-2008
Match of the Day's Goal of the Season: 2005-06
BBC Sports Personality of the Year Third Place: 2005
UEFA Champions' League Most Valuable Player: 2004–05
Barclays Player of the Month: March 2001, March 2003, December 2004, April 2006

ต้องขอขอบคุณเว๊ปไซค์ http://www.sport-idol.com

ประวัติความเป็นมาของ คอมพิวเตอร์

                                                  ประวัติความเป็นมาของ คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine)จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง   โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค





ยุคที่หนึ่ง (First Generation Computer) พ.ศ. 2489-2501

เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น   และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี 

คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1

จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสูญญากาศ
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
  • ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง
  • ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น
  • เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน
หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube)


ยุคที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506


มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง
  คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2
ทรานซิสเตอร์ (Transistor)

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
  • ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
  • เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core)
  • มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS)
  • สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
  • เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
 

ยุคที่สาม (Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512


คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก 

คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3

นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)
Integrated Circuit : IC
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
  • ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
  • ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า)
  • ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป
 
ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532

นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้


ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
  • ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
  • มีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)






ยุคที่ห้า (Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน


ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่
1. ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System)
คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น
แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม
2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น
เครื่องคิดเลขพูดได้ และนาฬิกาปลุกพูดได้


3. การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น
4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น 
ต้องขอขอบคุณเว๊ปไซค์  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/menu2.htm   http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page21.htm  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page22.htm  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page23.htm  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page24.htm  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page25.htm 

โครงสร้างข้อมูล.(Data Structure)


     โครงสร้างข้อมูล.(Data Structure)
    ในการนำข้อมูลไปใช้นั้น เรามีระดับโครงสร้างของข้อมูลดังนี้  
  • บิต (Bit)  คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปใช้ งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรือ เลข 1 เท่านั้น
  • ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character)     ได้แก่ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, …, 9, A, B, …, Z และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรือ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็นต้น  
  • ฟิลด์ (Field)    ได้แก่ ไบต์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว(ID) ชื่อพนักงาน(name) เป็นต้น
  •  เรคคอร์ด (Record)   ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็นเรคคอร์ด เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด
  •  ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้อมูล    ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมด เป็นไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพนักงานของบริษัท เป็นต้น
  ฐานข้อมูล (Database)   คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ข้อมูลหลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้าด้วยกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของแผนกต่างๆ มารวมกัน เป็นฐานข้อมูลของบริษัท เป็นต้น
  การวัดขนาดข้อมูล   ในการพิจารณาว่าข้อมูลใดมีขนาดมากน้อยเพียงไร เรามีหน่วยในการวัดขนาดของข้อมูลดังต่อไปนี้
     8 Bit = 1 Byte
    1,024 Byte = 1 KB (กิโลไบต์)
    1,024 KB = 1 MB (เมกกะไบต์)
    1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์)
    1,024 GB = 1TB (เทระไบต์)

    ต้องขอขอบคุณเว๊ปไซค์ 
    http://jadsadarditsuwan.blogspot.com/2012/04/blog-post.html